
หน่วยการเรียนรู้ที่
1
เรียนรู้พื้นฐานการเขียนรายงานทางวิชาการ
สาระสำคัญ การเขียนรายงานทางวิชาการ
จะให้ความสำคัญกับการจัดรูปแบบและองค์ประกอบเป็นอย่างมาก ดังนั้น ผู้เขียนรายงานจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับการจัดรูปแบบและองค์ประกอบของรายงานทางวิชาการ
เพื่อจะได้จัดทำรายงานทางวิชาการได้ถูกต้อง
สาระการเรียนรู้
1) ความหมายของการเขียนรายงานทางวิชาการ
2) แนวคิดพื้นฐานในการเขียนรายงาน
3) องค์ประกอบของการเขียนรายงาน
4) การเขียนโครงร่างรายงาน

บทที่ 1
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับรายงาน
ความหมายของรายงาน
คำว่า “รายงาน” เป็นคำนาม
แปลว่าเรื่องราวที่ไปศึกษาค้นคว้าแล้วนำมาเสนอที่ประชุมครูอาจารย์หรือผู้บังคับบัญชา
เป็นต้น เป็นคำกริยา แปลว่า บอกเรื่องราวของการงาน เช่น
รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ (อำไพวรรณ ทัพเป็นไทย อ้างถึงใน
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 , 2546 : 953)
รายงาน (report)
เป็นเอกสารทางวิชาการที่นักศึกษารวบรวมและเรียบเรียงขึ้นจากการศึกษาค้นคว้าเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพื่อให้เสริมความรู้และทักษะในรายวิชาที่กำลังศึกษาอยู่
(พูลสุข เอกไทยเจริญ , 2539 :
2)
สรุปได้ว่ารายงานเป็นการนำเสนอเรื่องราวทางวิชาการซึ่งเป็นผลจากการศึกษาค้นคว้าเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างมีระบบ
มีการวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล และอ้างอิงหลักฐานที่มาอย่าง
มีหลักเกณฑ์แล้วนำมาเรียบเรียงอย่างมีขั้นตอน
และเขียนหรือพิมพ์ให้ถูกต้องตามแบบแผนที่กำหนดถือว่ารายงานเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินผลการศึกษา

รายงานมีความสำคัญต่อผู้ศึกษา
ดังต่อไปนี้
1. ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้เรียนรู้จักวิธีการค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง
ในเรื่องที่ สนใจได้อย่างกว้างขวางลึกซึ้ง
2. ช่วยให้ผู้เรียนรู้จักแหล่งข้อมูลต่างๆ
และเกิดทักษะรู้วิธีการค้นคว้ารวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลนั้นๆ ได้อย่างถูกวิธี
3. ช่วยฝึกทักษะด้านการอ่าน
โดยอ่านได้เร็วอ่านแล้วสามารถจับใจความของเรื่องที่อ่านได้ สามารถสรุปได้
วิเคราะห์ได้ และจดบันทึกได้
4. ช่วยฝึกทักษะทางด้านการเขียน
สามารถสื่อความหมายโดยการเขียนได้อย่างมีประสิทธิภาพรู้ขั้นตอน
รู้รูปแบบของการเขียนรายงานแล้วนำเอาหลักการและแบบแผนในการเขียนรายงานไปปรับใช้ในการเขียนงานทางวิชาการอื่นๆ
ได้ เช่น ภาคนิพนธ์ สารนิพนธ์ วิทยานิพนธ์ ตำราเป็นต้น
5. ช่วยฝึกทักษะทางด้านการคิด
คือสามารถคิดวิเคราะห์เรื่องราวต่างๆ ได้ โดยใช้ วิจารณญาณของตนเองแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผลโดยมีหลักฐานอ้างอิงแล้วรวบรวมเรียบเรียง
ข้อมูลความคิดที่ได้ให้เป็นเรื่องราวได้อย่างมีขั้นตอน มีระบบ เป็นระเบียบ
6. สามารถเขียนรายงานประกอบการเรียนได้อย่างถูกต้องตามแบบแผน
และเป็นพื้นฐานใน การศึกษาขั้นสูงต่อไป
7. ใช้เป็นส่วนหนึ่งในการประเมินผลของแต่ละวิชา

รายงานวิชาการแบ่งประเภทใหญ่ๆ
ได้ดังนี้
1. รายงานการค้นคว้าทั่วไป
แบ่งได้เป็น
1.1 รายงาน
(Report) เป็นผลการศึกษาค้นคว้าในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อประกอบการเรียนในรายวิชา
(ในรายวิชาหนึ่งอาจมีรายงานได้หลายเรื่อง) รายงานในวิชาใดจะมีเนื้อหาอยู่ในขอบข่ายวิชานั้น
โดยอาจใช้วิธีการศึกษาค้นคว้าวิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายวิธีประกอบกัน เช่น
การศึกษาค้นคว้าจากเอกสาร การสังเกต การทดลอง
เป็นต้นในแง่การจัดทาอาจเป็นรายงานเดี่ยวหรือรายงานกลุ่มสำหรับความยาวของรายงานและกำหนดเวลาทำจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับขอบเขตของหัวข้อรายงานและการตกลงกันระหว่างผู้สอนและผู้เรียน
โดยทั่วไปใช้เวลาน้อยกว่า 1 ภาคเรียน
1.2 ภาคนิพนธ์
หรือรายงานประจำภาค (Term paper) มีลักษณะเช่นเดียวกับรายงานเพียงแต่เรื่องที่ใช้ทำภาคนิพนธ์จะมีขอบเขตกว้างและลึกซึ้งกว่า
ใช้เวลาค้นคว้ามากกว่าความยาวของเนื้อหามากกว่า
ดังนั้นผู้เรียนจึงมักจะได้รับมอบหมายให้ทำเพียงเรื่องเดียวในแต่ละรายวิชาต่อภาคการศึกษา
2. รายงานการค้นคว้าวิจัย
แบ่งได้เป็น
2.1 รายงานการวิจัย
(Research Report) เป็นการนำเสนอผลการศึกษาค้นคว้าและวิจัยในเรื่องหรือปัญหาเฉพาะที่ต้องการคำตอบหรือความรู้เพิ่มเติม
ต้องมีความรู้ใหม่ที่ยังไม่เคยมีการศึกษาวิจัยมาก่อน
มีวิธีดำเนินการอย่างมีระเบียบ มีจุดมุ่งหมายที่แน่นอนเพื่อให้ได้มาซึ่งความจริงหรือหลักการบางอย่าง
2.2 วิทยานิพนธ์
หรือ ปริญญานิพนธ์ (Thesis or Dissertation) มีลักษณะเช่นเดียวกับรายงานการวิจัยและถือเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญามหาบัณฑิต
เรียกว่า วิทยานิพนธ์ (Thesis) และปริญญาดุษฎีบัณฑิต
เรียกว่า ปริญญานิพนธ์หรือดุษฎีนิพนธ์ หรือสาระนิพนธ์ (Dissertation) เป็นเรื่องทำเฉพาะบุคคลกำหนดเวลาทำไม่เกินระยะเวลาเรียนของหลักสูตรนั้น

1. มีการนำหลักการและ/หรือทฤษฎีมาใช้อย่างเหมาะสมเนื่องจากในการศึกษาค้นคว้า จะต้องมีการวิเคราะห์เนื้อหา
โดยมีหลักการหรือทฤษฎีมารองรับอย่างเหมาะสม
หลักการหรือทฤษฎีดังกล่าวควรเป็นที่ยอมรับในแวดวงสาขาวิชาการนั้นๆ
พอควรและตรงกับเรื่องที่ศึกษาค้นคว้า
2. มีการแสดงความคิดริเริ่มสร้างสรรค์อย่างเหมาะสม
เช่น เสนอแนวทางการแก้ปัญหาที่ไม่เคยมีผู้ทำมาก่อน หรือเคยมีผู้ทำแต่ไม่ชัดเจนเพียงพอ
3. ความสมบูรณ์และความถูกต้องของเนื้อหาสาระ
เนื้อหาสาระต้องสมบูรณ์ตามชื่อเรื่องที่กำหนด และถูกต้องในข้อเท็จจริง
การอ้างอิงที่มาหรือแหล่งค้นคว้าต้องถูกต้องเพื่อแสดงจรรยามารยาทของผู้เขียน
และเป็นแหล่งชี้แนะให้ผู้สนใจได้ติดตามศึกษาค้นคว้าต่อไป
การค้นคว้าควรศึกษามาจากหลายแหล่ง
4. ความชัดเจนของการเขียนรายงานจะต้องมีความชัดเจนในด้านลำดับการเสนอเรื่องมีความสามารถในการใช้ภาษา
และการนำเสนอตาราง แผนภูมิ/ภาพประกอบทั้งนี้เพื่อให้การนำเสนอเนื้อหาชัดเจน
เข้าใจง่าย เป็นระเบียบไม่ซ้ำซ้อนสับสน

การใช้ภาษาในการเขียนรายงาน
1. ควรใช้ภาษาหรือสำนวนโวหารเป็นของตนเองที่เข้าใจง่ายและถูกต้อง
2. ใช้ประโยคสั้นๆ
ให้ได้ใจความชัดเจน สมบูรณ์ ตรงไปตรงมาไม่วกวน
3. ใช้ภาษาที่เป็นทางการไม่ใช้ภาษาพูด
คำผวน คำแสลง อักษรย่อ คำย่อ
4. ใช้คำที่มีความหมายชัดเจน
ละเว้นการใช้ภาษาฟุ่มเฟือย การเล่นสำนวน
5. ระมัดระวังในเรื่องการสะกดคำ
การแบ่งวรรคตอน
6. ระมัดระวังการแยกคำด้วยเหตุที่เนื้อที่ในบรรทัดไม่พอหรือหมดเนื้อที่ในหน้าที่นั้นเสียก่อน
เช่น ไม่แยกคำว่า “ละเอียด” ออกเป็น “ละ” ในบรรทัดหนึ่งส่วน “ละเอียด”
อยู่อีกบรรทัดต่อไปหรือหน้าต่อไป
7. ให้เขียนเป็นภาษาไทยไม่ต้องมีคำภาษาอังกฤษกำกับ
ถ้าเป็นคำใหม่หรือศัพท์วิชาการในการเขียนครั้งแรกให้กำกับภาษาอังกฤษไว้ในวงเล็บ
ครั้งต่อๆ ไปไม่ต้องกำกับภาษาอังกฤษ

1. หลักการเขียนรายงานทางวิชาการ
ส่วนประกอบของรายงานทางวิชาการ
มีลักษณะ ดังนี้
1.1 ส่วนประกอบตอนต้น
มีส่วนประกอบตามลำดับดังนี้
1.1.1 หน้าปก (ปกนอก)
1.1.2. หน้าชื่อเรื่อง (ปกใน)
1.1.3. คำนำ (กิตติกรรมประกาศ)
1.1.4.
สารบัญ
1.1.5. สารบัญตาราง
1.1.6. สารบัญภาพประกอบ
1.2 ส่วนประกอบตอนกลาง
(เนื้อเรื่อง) เป็นส่วนสำคัญที่สุดของรายงาน
แบ่งแยกเนื้อหาที่เขียนเป็นบทอย่างมีระบบระเบียบ ตามลำดับ
รายงานทางวิชาการมีโครงสร้างมาตรฐาน
5
บท คือ
บทที่ 1
บทนำ
บทที่ 2
เอกสารและรายงานการศึกษาที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 3
วิธีดำเนินการศึกษา
บทที่ 4
ผลการศึกษา
บทที่ 5
สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
นอกจากนี้ ยังมีส่วนประกอบ
ที่สำคัญของเนื้อเรื่อง ได้แก่
การอ้างอิงจากการศึกษาค้นคว้า แบบเชิงอรรถท้ายหน้า
หรืออ้างอิงแทรกในเนื้อหา (นามปี) ข้อมูลสารสนเทศตารางประกอบ แผนภูมิ ภาพประกอบ
1.3 ส่วนประกอบท้าย
ส่วนประกอบท้าย ได้แก่ บรรณานุกรม ภาคผนวก
และอภิธานศัพท์ เป็นรายละเอียดเพิ่มเติมจากเนื้อเรื่อง เช่น
การอ้างอิงที่ได้ระบุไว้ในเชิงอรรถ ก็นำมาระบุไว้ในบรรณานุกรมท้ายเล่ม
รายละเอียดต่าง ๆ เช่น ตารางข้อมูลแผนงานโครงการ บันทึกประจำวัน สำหรับผู้สนใจรายละเอียด

การใช้ภาษาในการเขียนรายงาน
รายงานมีลักษณะต่อไปนี้
-เป็นงานเขียนที่เป็นงานเป็นการ
ค่อนข้างจริงจัง หนักแน่น
-การให้ความคิด
ความรู้ มากกว่าเรียงความทั่วไป
-เป็นความเรียงร้อยแก้ว
ใช้ภาษาเขียนถูกต้องตามหลักวิชาการ
-มีหลักฐาน
ข้อเท็จจริงอ้างอิงประกอบ
-ไม่ต้องใช้สำนวนโวหารให้ไพเราะเพราะไม่ใช่งานประพันธ์
-มีความกระชับ
รัดกุม กะทัดรัด ชัดเจน ตามที่นิยมกันตามปกติ
-ไม่ใช้คำที่อาจมีความหมายได้หลายประการ
-หลีกเลี่ยง
การใช้ภาษาพูด ภาษาแสลง หรือภาษาตลาด
-ควรหลีกเลี่ยงการใช้ภาษาท้องถิ่น
- ควรเลือกใช้ภาษาสามัญที่เข้าใจง่าย
-ตัวสะกดการันต์ถูกต้องตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
-การใช้คำศัพท์
เช่น การใช้คำสุภาพ คำราชาศัพท์ คำที่ใช้กับภิกษุ
ล้วนต้องเลือกใช้ให้ถูกต้อง ตามหลักการใช้ภาษา และความนิยมในปัจจุบัน
ตัวอย่างการใช้คำศัพท์
เช่น
-สไลด์
เปลี่ยนใช้ ภาพเลื่อน ให้ถูกต้องตามศัพท์บัญญัติ
-ตรรกวิทยา
(Logic) มีวงเล็บภาษาอังกฤษต่อท้าย
-ร้อยละ
ไม่ต้องวงเล็บ (Percent) เพราะใช้กันแพร่หลายแล้ว
-ไม่ควรใช้
ศธ. หรือเขียนย่อว่า กระทรวงศึกษา ฯ แทน ” กระทรวงศึกษาธิการ ”
-ไม่ควรใช้
ร.ร. แทน โรงเรียน
ยกเว้นกรณีที่นิยมใช้แบบย่อ กันแพร่หลายแล้ว เช่น พ.ศ. ส่วนคำที่เป็นชื่อเฉพาะ ให้เขียนสะกด การันต์
ตามของเดิม จะถืออักขรวิธีในการเขียนคำทั่วไปเป็นหลักไม่ได้ เช่น
นางสาวจิตต์ ไม่ต้องแก้เป็น นางสาวจิต
-การใช้คำ
กับ แด่ แต่ ต่อ ให้ถูกต้อง
ตัวอย่าง เช่น
-กับ
ใช้กับสิ่งของหรือคนที่ทำกริยาเดียวกัน เช่น ครูกับนักเรียนอ่านเอกสาร
เด็กเล่นกับผู้ใหญ่
-แด่
ต่อ ใช้กับกริยา ให้ รับ บอก ถวาย ต่อบุคคลที่สมควร เช่น กล่าวรายงานต่อประธานถวายของแด่พระสงฆ์
-แก่ ใช้เช่นเดียวกับ แด่ ต่อ แต่ใช้กับบุคคลทั่วไป เช่น พระราชทานแก่
ให้แก่ บอกแก่แจ้งแก่
-เขียนเนื้อหาให้แจ่มแจ้งชัดเจน
มีการเน้น เนื้อหาที่สำคัญ โดยใช้ คำ วลี และข้อความที่สำคัญ ขึ้นต้นประโยค
หรือจบประโยค กล่าวซ้ำ เพื่อให้ความสำคัญกับคำที่กล่าวซ้ำเปรียบเทียบ
-เพื่อให้ข้อความชัดเจน และให้รายละเอียดเป็นตัวอย่าง รูปภาพประกอบ ทำให้ชัดเจน เข้าใจง่าย
และถ้าต้องการให้มีผลในทางปฏิบัติ จะต้องใช้ ตัวอย่าง ข้อความ
สนับสนุนหลักการแนวคิดที่เสนอ ให้ชัดเจนอย่างมีศิลปะในการเขียน
-มีเอกภาพ
ในการเสนอเนื้อหาทุกส่วนของรายงาน เพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์ของการเขียน
-มีสัมพันธภาพ
ในการจัดลำดับเนื้อหา คือเขียนให้สัมพันธ์กัน เช่น ตามลำดับเวลา
ตามลำดับเหตุและผล จัดลำดับ ระหว่าง หัวข้อใหญ่ หัวข้อย่อย
ระหว่างย่อหน้า เรียงตามความสำคัญ หัวข้อที่สำคัญเท่ากัน
หรือระดับเดียวกัน เขียนให้ย่อหน้าเท่ากัน
ตรงกัน ย่อหน้าหนึ่งควรมีใจความสำคัญเดียว
-รายงานทางวิชาการ
เน้นความจริง ความถูกต้อง ไม่ควรเขียนเกินความจริงที่ปรากฏ
-รายงานตามข้อมูลที่พบ
ไม่ควรเขียนคำคุณศัพท์ เช่น ดีมาก ดีที่สุด เหมาะสม ดี
โดยไม่มีข้อมูล หลักเกณฑ์ชัดเจน แสดงถึงการวินิจฉัย
ประเมินค่าเกินจริง
-คุณสมบัติของผู้เขียนรายงาน
ที่จะช่วยให้รายงานมีคุณค่า ได้แก่ความรู้ทั่วไปในเรื่องที่เขียน จะทำให้เตรียมการอย่างรอบคอบ เขียนได้ครอบคลุม ต่อเนื่อง ชัดเจน
มีความสามารถในการวิเคราะห์ ให้คุณค่าข้อมูล
อย่างแม่นตรงมีวิจารณญาณในการเลือกเสนอสิ่งที่สำคัญ
สามารถใช้เทคนิคผสมผสานความรู้ ประสบการณ์ ออกมาเป็นความคิด
แล้วถ่ายทอด ออกมาเป็นภาษาเขียน

หากแบ่งตามลักษณะข้อมูลจะแบ่งได้เป็น 2
ประเภท คือ ข้อมูลเอกสารและข้อมูลสนาม
1)
ข้อมูลเอกสาร เป็นข้อมูลที่อยู่ในรูปเอกสาร และหลักฐานต่างๆ
เป็นข้อมูลที่มีผู้ค้นคว้าและบันทึกไว้แล้ว โดยทั่วไปหนังสือแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ หนังสืออ้างอิง และหนังสือประเภททั่วไป
หนังสืออ้างอิง มีดังนี้
- พจนานุกรม
- สารานุกรม
- อักขรานุกรม
- หนังสือประจำปี
- นามานุกรม
- ดรรชนี
- บรรณานุกรม
หนังสือทั่วไป
เป็นหนังสือประเภทตำราหรือเอกสารที่ใช่เอกสารอ้างอิง
หนังสือประเภทนี้มีอยู่เป็นจำนวนมาก วิธีง่ายที่สุดในการเลือกคืออ่านสารบัญว่าหนังสือเล่มนั้นมีประเด็นใดบ้าง
ที่ตรงกับเนื้อหาที่ตนต้องการ
2)
ข้อมูลสนาม เป็นข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมเองโดยตรง ทำได้หลายวิธี
เช่น การสัมภาษณ์ การสังเกต การให้กลุ่มเป้าหมายตอบแบบสอบถาม การทดลอง ฯลฯ
ผู้ทำรายงานควรพิจารณาเองว่าวิธีใดเหมาะสมที่สุดสำหรับรายงานเรื่องนั้น ๆ

การอ้างอิงทางบรรณานุกรม
หมายถึง รายการเอกสาร สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด
ที่ผู้ผลิตผลงานทางวิชาการใช้อ้างอิงในเอกสารผลงานของตน
การแสดงรายการทางบรรณานุกรมไว้ที่ผลงานของท่านจึงนับเป็นการให้ความเคารพผล
งานทางปัญญาที่ผู้อื่นได้แสดงไว้
อีกทั้งยังมีประโยชน์ในการแสดงที่มาที่ไปขององค์ความรู้ในเรื่องนั้นๆ
ทำให้ผู้สนใจสามารถติดตามพัฒนาการของเรื่อง
4.1. การอ้างอิงแบบแทรกปนในเนื้อหา
ซึ่งมี 2 ระบบ (ส่งศรี ดีศรีแก้ว,
2534 : 78) คือ
4.1.1 ระบบนาม - ปี ( Author - date)
ระบบนาม - ปี เป็นระบบที่มีชื่อผู้แต่ง, ปีที่พิมพ์ และเลขหน้า ที่อ้างอิงอยู่ภายในวงเล็บ ดังตัวอย่าง
(ชื่อผู้แต่ง. ปีที่พิมพ์ : เลขหน้าที่อ้างอิง)
4.1.1 ระบบนาม - ปี ( Author - date)
ระบบนาม - ปี เป็นระบบที่มีชื่อผู้แต่ง, ปีที่พิมพ์ และเลขหน้า ที่อ้างอิงอยู่ภายในวงเล็บ ดังตัวอย่าง
(ชื่อผู้แต่ง. ปีที่พิมพ์ : เลขหน้าที่อ้างอิง)
4.1.2
ระบบหมายเลข (Number System) เป็นระบบที่คล้ายคลึงกับระบบนาม
- ปี แต่ระบบนี้จะใช้หมายเลขแทนชื่อผู้แต่งเอกสาร
อ้างอิง มีอยู่ 2 วิธี คือ
(1) ให้หมายเลขตามลำดับของการอ้างอิง
(2) ให้หมายเลขตามลำดับอักษรผู้แต่ง
อ้างอิง มีอยู่ 2 วิธี คือ
(1) ให้หมายเลขตามลำดับของการอ้างอิง
(2) ให้หมายเลขตามลำดับอักษรผู้แต่ง
4.2 บรรณานุกรม
บรรณานุกรม
คือ รายชื่อหนังสือเอกสาร สิ่งพิมพ์ต่าง ๆ รวมทั้งโสตทัศนวัสดุ และสื่ออีเล็กทรอนิกส์
ที่นำมาเป็นหลักฐานอ้างอิงในการเขียนรายงาน โดยเรียงตามลำดับอักษรไว้ท้ายเรื่อง
จุดมุ่งหมายในการเขียนบรรณานุกรม
1. ทำให้รายงานนั้นเป็นรายงานที่มีเหตุผล มีสาระน่าเชื่อถือ
2. เป็นการเคารพสิทธิและความคิดเห็นของผู้อื่น
2. เป็นการเคารพสิทธิและความคิดเห็นของผู้อื่น
3. เป็นแนวทางสำหรับผู้สนใจต้องการศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม
4. สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงที่นำมาอ้างได้
4. สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงที่นำมาอ้างได้
1. เขียนไว้ในส่วนท้ายของรายงาน
2. เขียนเรียงลำดับอักษรชื่อผู้แต่ง ในกรณีที่มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ให้เขียนบรรณานุกรมภาษาไทยก่อน
3. บรรทัดแรกของบรรณานุกรมชิดด้านซ้ายที่เว้นจากขอบกระดาษเข้ามา 1.5 นิ้ว ถ้ายังไม่จบ เมื่อขึ้นบรรทัดใหม่โดยย่อหน้าเข้ามาประมาณ 7 ตัวอักษรของบรรทัดแรก
4. รายละเอียดในโครงสร้างรูปแบบบรรณานุกรมหนังสือ มีดังนี้
2. เขียนเรียงลำดับอักษรชื่อผู้แต่ง ในกรณีที่มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ให้เขียนบรรณานุกรมภาษาไทยก่อน
3. บรรทัดแรกของบรรณานุกรมชิดด้านซ้ายที่เว้นจากขอบกระดาษเข้ามา 1.5 นิ้ว ถ้ายังไม่จบ เมื่อขึ้นบรรทัดใหม่โดยย่อหน้าเข้ามาประมาณ 7 ตัวอักษรของบรรทัดแรก
4. รายละเอียดในโครงสร้างรูปแบบบรรณานุกรมหนังสือ มีดังนี้
1. โครงสร้างรูปแบบบรรณานุกรมหนังสือ
1.1 การอ้างถึงชื่อผู้แต่ง
1.1.1 ผู้แต่งคนเดียว
1.1.1 ผู้แต่งคนเดียว

1.1.2
ผู้แต่ง 2 คน ให้ใส่คำว่า “และ” เชื่อมระหว่างคนที่ 1 กับคนที่
2

1.1.3
ผู้แต่ง 3 คน ให้ใส่เครื่องหมายจุลภาคคั่นระหว่างคนที่ 1 กับคนที่ 2 และใส่คำว่า “และ” เชื่อมระหว่างคนที่ 2
กับคนที่ 3

1.1.4
ผู้แต่งตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป
ลงเฉพาะชื่อแรก และตามด้วยคำว่า
และคนอื่น ๆ

1.1.5
หนังสือที่ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง ให้ใช้ชื่อเรื่องเป็นรายการแรกแทนชื่อผู้แต่ง

1.1.6
ผู้แต่งใช้นามแฝง ให้ใช้นามแฝงได้เลย

1.1.7
หนังสือแปล ให้ใส่ชื่อ นามสกุลของผู้แต่ง ก่อนผู้แปล

1.1.8
ผู้แต่งมีบรรดาศักดิ์ ให้ใส่ชื่อ
นามสกุล ตามด้วยบรรดาศักดิ์

1.2 รูปแบบของบรรณานุกรมหนังสือ
รูปแบบของบรรณานุกรม มี 2 แบบ
1.2.1 การอ้างอิงแยกจากเนื้อหาอยู่ท้ายของรายงาน
1) การอ้างอิงเนื้อหาบางบท หรือบางตอน ในหนังสือเล่มเดียวจบ ให้ใส่ชื่อบท หรือตอน ใช้คำว่า “ใน” ตามด้วยชื่อหนังสือ และระบุหน้า เมืองที่พิมพ์ ผู้รับผิดชอบในการพิมพ์
รูปแบบของบรรณานุกรม มี 2 แบบ
1.2.1 การอ้างอิงแยกจากเนื้อหาอยู่ท้ายของรายงาน
1) การอ้างอิงเนื้อหาบางบท หรือบางตอน ในหนังสือเล่มเดียวจบ ให้ใส่ชื่อบท หรือตอน ใช้คำว่า “ใน” ตามด้วยชื่อหนังสือ และระบุหน้า เมืองที่พิมพ์ ผู้รับผิดชอบในการพิมพ์

2)
การอ้างอิงเนื้อหาบางบท หรือบางตอน
ของหนังสือบางเล่มที่มีหลายเล่มจบ ใช้คำว่า “ใน”
ตามด้วยชื่อหนังสือ ระบุเล่ม
และหน้าตามด้วยเลขหน้าที่อ้างอิง เมืองที่พิมพ์
ผู้รับผิดชอบในการพิมพ์

3)
การอ้างอิงตลอดทุกเล่มที่มีหลายเล่มจบ ให้ระบุจำนวนเล่ม
ตามด้วย เมืองที่พิมพ์ ผู้รับผิดชอบในการพิมพ์

4)
การอ้างอิงเพียงเล่มใดเล่มหนึ่ง ให้ระบุเล่มที่อ้างอิงตามด้วย
เมืองที่พิมพ์ ผู้รับผิดชอบในการพิมพ์

1.2.2
การอ้างอิงแทรกในเนื้อหา
1) เมื่อต้องการจะแทรกในเนื้อหาสามารถแทรกวงเล็บพร้อมกับอ้างอิงได้ทันที เมื่อจบข้อความ
1.1) รายการอ้างอิง ประกอบด้วย ชื่อ นามสกุลผู้แต่ง ตามด้วยเครื่องหมายจุลภาค ปีที่พิมพ์ ตามด้วยเครื่องหมายจุลภาค หน้า/เลขหน้าที่อ้างถึง
1) เมื่อต้องการจะแทรกในเนื้อหาสามารถแทรกวงเล็บพร้อมกับอ้างอิงได้ทันที เมื่อจบข้อความ
1.1) รายการอ้างอิง ประกอบด้วย ชื่อ นามสกุลผู้แต่ง ตามด้วยเครื่องหมายจุลภาค ปีที่พิมพ์ ตามด้วยเครื่องหมายจุลภาค หน้า/เลขหน้าที่อ้างถึง

1.2)
หากไม่มีชื่อผู้แต่ง ให้ใช้ชื่อหน่วยงานแต่ง ตามด้วยเครื่องหมายจุลภาค
ปีที่พิมพ์ ตามด้วยเครื่องหมายจุลภาค หน้า/เลขหน้าที่อ้างถึง

1.3)
หากไม่ระบุปีที่พิมพ์ และเลขหน้า
ให้ใช้ตัวอักษรย่อ “ม.ป.ป.” ย่อมาจากคำว่า
ไม่ปรากฏเลขหน้า และระบุคำว่า
ไม่มีเลขหน้าลงไปได้เลย

2)
ถ้าระบุชื่อผู้แต่งลงในเนื้อหาแล้วอ้างต่อทันทีในวงเล็บ ไม่จำเป็นต้องระบุ ชื่อผู้แต่งซ้ำอีก

ยกเว้นผู้แต่งเป็นชาวต่างชาติ

3)
การอ้างถึงเอกสารที่ไม่สามารถค้นหาต้นฉบับจริงได้ ให้อ้างจากเล่มที่พบ ใช้คำว่า “อ้างถึงใน” หากเป็นบทวิจารณ์ ใช้คำว่า “วิจารณ์ใน”

4)
การอ้างถึงเฉพาะบท ใช้คำว่า
“บทที่”

5)
การอ้างถึงตาราง ในเนื้อหา ใช้คำว่า “ดูตารางที่” การอ้างถึงภาพในเนื้อหา ใช้คำว่า
“ดูภาพที่”

2. โครงสร้างและรูปแบบบรรณานุกรมวารสาร

2.1 การเขียนบรรณานุกรมจากบทความในวารสาร มีปีที่
และฉบับที่

2.2 บทความในวารสาร ที่ไม่มีปีที่
ออกต่อเนื่องทั้งปี

3. โครงสร้างและรูปแบบบรรณานุกรมหนังสือพิมพ์

3.1 การเขียนบรรณานุกรมบทความในหนังสือพิมพ์

3.2 การเขียนบรรณานุกรมข่าวจากหนังสือพิมพ์ ให้เขียนหัวข่าว

3.3 การเขียนบรรณานุกรมจากคอลัมน์จากหนังสือพิมพ์

4. รูปแบบบรรณานุกรมเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ระบบออนไลน์
(Online) หรืออินเทอร์เน็ต
4.1 เว็บเพจ
มีผู้เขียน หรือมีหน่วยงานรับผิดชอบ

4.2 เว็บเพจไม่ปรากฏผู้เขียน และปีที่จัดทำ ใส่ ม.ป.ป. (ไม่ปรากฏปีที่พิมพ์)

แหล่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เว็บไซต์
ชื่อ/ชื่อสกุล.//(ปีที่ผลิตหรือปีสืบค้น).//ชื่อเรื่อง.//สืบค้นเมื่อ/วัน/เดือน/ปี(หรือ
Retrieved/เดือน/วัน,/ปี),/จาก
(from)/แหล่งข้อมูลที่ค้นได้
ตัวอย่าง กระทรวงสาธารณสุข.//(2549).//โรคโบทูลิสซึม (Botulism).//สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2550,/ จาก/
http://thaigcd.ddc.moph.go.th/eid_knowledge_butolism_060324.html
http://www.newscientist.com/channel/health/birdflu/dn9944
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น